๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ รถโดยสารวิ่งเข้าสถานีขนส่งเมืองย่างกุ้งเวลาประมาณตี ๕ กว่า ฝนตกปรอย ๆ ชาลี(นักกฎหมายชาวจีน)เข้าใจผิด บอกว่ามีรถรับส่งฟรีไปยังพระเจดีย์ Sule แต่ผมไม่เชื่อ…รีบไปรับเป้ แล้วเดินออกจากที่นั่น คิดแต่เพียงว่าจะต้องไปขึ้นรถเมล์เท่านั้น…
มีคนขับรถแท็กซี่เข้ามาถาม พอผมบอกว่าขอไปรถเมล์ เค้าก็ใจดี…ชี้ทางให้ (ถ้าเป็นคนขับแท็กซี่ในเมืองไทยจะบอกหรือเปล่าก็ยังสงสัยอยู่) ผมเดินไปขึ้นรถเมล์ซึ่งจอดรออยู่ใกล้ถนนใหญ่ เสียงตะโกนของท้ายรถว่า “Sule Sule” ทำให้มั่นใจได้ว่าขึ้นรถไม่ผิดคัน! ทีแรกผมนั่งเบาะยาวด้านหลัง ต่อมาเปลี่ยนใจขอไปนั่งด้านหน้า ใกล้ ๆ คนขับ ชาลีลุกตามมา! พอรถออกวิ่ง กระเป๋าก็มาเก็บค่าโดยสาร ผมจ่าย ๑๐๐ จ๊าด โดยไม่ต้องถาม ชาลีทำตาม…
ค่าโดยสาร ๑๐๐ จ๊าด หรือ ๔ บาท ผมสามารถนั่งไปถึงพระเจดีย์สุเล ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมก็จะพักที่เดิม คือ Mahabandoola Guest House แล้วผมก็คงต้องเจอกับ “ลุงมะเม่า” ผู้ที่จะมารอพบ พร้อมกับนำพระพุทธรูปไม้แกะสลักมาให้ แล้วปัญหาที่ผมจะต้องปวดหัวก็คือ ไม่รู้ว่าจะให้เงินลุงมะเม่าอีกเท่าไหร่ดีสำหรับสิ่งที่ไม่อยากได้ ปฏิเสธคนไม่เป็น…ทำให้ผมไม่อยากจะเจอลุงมะเม่าอีก! อยากจะใช้เวลา ๑ วันที่เหลือในย่างกุ้งอย่างเสรี เที่ยวโดยไม่จำเป็นว่าต้องมีผู้นำทาง
อีกประการหนึ่ง…วันพรุ่งนี้ก็ต้องขึ้นเครื่องตอนเช้า ถ้าพักที่ Mahabandoola ผมก็ต้องตื่นแต่เช้า check-out แล้วจ้างแท็กซี่ (เสียอีก ๑๐ ดอลลาร์) ให้ไปส่งที่สนามบิน แล้วถ้าหากผมหลับลืมตื่นล่ะ? ตกเครื่องไม่ใช่เรื่องสนุก! ทางที่ดี…ผมควรจะหาที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ถ้ามีวัดวาอารามหรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ยังไม่เคยได้เห็นอยู่ในบริเวณที่สามารถเดินเที่ยวได้ก็ยิ่งวิเศษ
ดูจากแผนที่ในมือ Kyauk Ye Twin คือจุดที่ผมควรจะลงรถเมล์..
ในที่สุด ผมและชาลีก็ลงรถที่เป้ายซึ่งอยู่หน้าสถานีรถไฟ Kyauk Ye Twin
สิ่งที่ผมต้องการก็คือ “ที่พัก” บนเส้นทางไปสนามบิน ผมถามสาวพม่าซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ถึงถนนที่จะไปยังสนามบิน เธอบอกให้เดินข้ามทางรถไฟ แล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอถนนที่มุ่งไปสนามบิน…
จากป้ายรถเมล์ เราพากันเดินข้ามทางรถไฟ…
ผ่านสถานีรถไฟ Kyaunk Ye Twin
แล้วเดิน ๆๆๆ จนพบชายคนหนึ่ง ผมสอบถามถึงโรงแรม Myanmar Life เค้าบอกให้เดินตามไป พอดีมีเพื่อนขับรถผ่านมาจอดรับ นักเดินทางชาวไทยและชาวจีนก็เลยได้อาศัยรถยนต์ไปลงที่หน้าโรงแรม Myanmar Life (เส้นสีแดงในภาพถ่ายดาวเทียม)
เข้าไปดูโรงแรม Myanmar Life กลายเป็นเป็นโรงแรมหรู (ค่าพักคืนละ ๕๐ เหรียญ) ผมไม่สามารถพักได้ รู้สึกเสียใจกับชาลีที่ต้องเดินตามมาไกลแล้วผมยังหาที่พักไม่ได้ ในที่สุดเราก็ต้องออกเดินต่อไปจนถึงจุดที่เห็นรั้วสีเขียวอยู่ข้างหน้า ผมแวะถามร้านมินิมาร์ทแห่งหนึ่ง เค้าบอกให้เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย ระยะทางอีกประมาณ ๑๕ นาทีก็จะถึงสนามบิน
ส.ว. ๒ คนกัมหน้าก้มตาเดินจนถึงสนามบิน มีพนักงานการบินคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ ผมสอบถามถึงที่พัก เค้าชี้ไปที่โรงแรม Seasons of Yangon หุหุ ยิ่งหนักเข้าไปอีก!! หมดหนทาง…ชาลีบอกว่าขอไปรอขึ้นเครื่องที่สนามบินเลย ทำให้ผมรู้สึกเสียใจยิ่งขึ้น ต้องกล่าวขอโทษ แต่ชาลีบอกผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า…ไม่เป็นไร ตั้งแต่เดินทางมาก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์นั่งรถเมล์อย่างที่มากับผม เราจับมืออำลา ผมมองดูชาลีเดินหิ้วกระเป๋าตรงไปยังอาคารขาออกด้วยความรู้สึกเห็นใจ การหาที่พักในเช้าวันนี้…ผมและชาลีต้องเดินกรำฝนไปตามเส้นทางที่ยาวไกล ผมรู้สึกเสียใจเมื่อทำให้เพื่อนร่วมทางต้องลำบาก นักกฎหมายอย่างชาลีคงไม่เคยเดินหิ้วกระเป๋าระยะทางไกลเช่นนี้เป็นแน่ อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ?…ผมลืมลุงมะเม่าไปเลย!
เป็นคนที่อ่อนไหวและแคร์ความรู้สึกของคนอื่นมาก ๆ…ผมจึงเหมาะที่จะเดินทางคนเดียวมากกว่า
เอาล่ะ…ต่อนี้ไปก็ถึงตัวเองที่จะหาที่พักให้ได้ ต้องไม่แพงด้วย แล้วจะไปหาที่ไหนกันเล่า?
ผมเดินย้อนกลับตามเส้นทางเดิม ในขณะที่ฝนเริ่มลงเม็ดอีกครั้ง ต้องกางร่มเดินไปตามพื้นที่ชื้นแฉะ…ผมเดินจนถึงโรงแรม Myanmar Life พอผ่านไปได้อีกหน่อย ก็มีแท็กซี่สภาพเก่ามาจอดถาม ผมบอกว่าช่วยพาไปส่งโรงแรมถูก ๆ ที่มีอยู่ข้างหน้าให้หน่อย สื่อสารกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง พอดีเค้ากลับจากส่งคนที่สนามบิน วิ่งรถเปล่า คงจะรู้สึกสงสารคนแบกเป้ที่ต้องเดินฝ่าสายฝนอยู่ก็ได้ จึงรับผมขึ้นรถ…
วิ่งอีกไม่ไกลก็เลี้ยวขวาเข้าซอย…
แล้วขับขึ้นเนินไปอีก…
นี่ไง…ถึงแล้ว “โรงแรม Zin Yaw”
ค่าพักคืนละ ๑๐,๐๐๐ จ๊าด หรือ ๔๐๐ บาท ผมไม่มีเงินจ๊าดพอ จึงต้องจ่ายด้วยเงินดอลล์ $10 และเงินพม่าอีก ๒,๐๐๐ จ๊าด ได้ห้องพักหมายเลข 1 ซึ่งอยู่ติดกับสำนักงาน….
เข้าที่พักได้แล้วจ้า…
่มีแอร์ มีทีวี เตียงนอนใหญ่ ผ้าปูที่นอนขาวสะอาด…
ห้องน้ำกว้าง แต่ไม่ยักมีน้ำอุ่น
เปิดทีวีดู ปรากฏว่ามีช่อง HBO ด้วย….
ผมเดินออกไปซื้อน้ำดื่มมา ๑ ขวด ๕๐๐ จ๊าด…
ได้ที่พักอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ทุกอย่างลงตัวพอดี พรุ่งนี้ผมก็ได้กลับเมืองไทยแล้ว…