ภาพที่แม่ขะจาน…

เวลา ๘.๓๖ น. ของวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๕ รถเมล์เขียวก็พาผมเดินทางออกจากสถานีขนส่งอาเขต ๓ เชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย รถนั่งสบายครับ…พอเหลือที่ว่างให้ขยับแข้งขยับขาได้บ้าง หัวเข่าไม่ต้องถูกอัดกับที่นั่งด้านหน้าเหมือนเวลานั่งเมล์เขียวแบบหวานเย็นจากลำปางไปเชียงใหม่ แอร์ก็เย็นดี

ผมศึกษาเกี่ยวกับ “Safety on Bus” แล้วเหลือบตามองหาค้อนเคาะกระจก อ่อ…มีจริง ๆ ด้วย อยู่ตรงใต้ชั้นวางสัมภาระทางด้านขวา!

มีสุภาพสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง (8A) เธอคุยโทรศัพท์เสียงดังตั้งแต่รถออกจากสถานีฯ ไปหยุดเอาเมื่อรถวิ่งเข้าเขต อ. เวียงป่าเป้า เป็นที่น่ารำคาญยิ่งนัก ผมรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเธอถึงโทรศัพท์ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องได้นานเป็นชั่วโมง

รถวิ่งผ่านอำเภอดอยสะเก็ดแล้วขึ้นเขา ข้าง ๆ ทางผมเห็นรีสอร์ท โรงแรม บ้านคนรวย บ้านคนจน สภาพพื้นที่เปลี่ยนไปเมื่อถูกครอบครองโดยนายทุน มีการก่อสร้างใหญ่ ๆ ที่ดูแปลกตาให้เห็นเป็นระยะ ๆ เวลา ๙.๕๕ น. รถวิ่งเข้าสถานีรับส่งผู้โดยสารแม่ขะจาน ผมเริ่มควักกระเป๋าเป็นครั้งแรก ๓ บาทเพื่อจ่ายค่าใช้เข้าห้องน้ำที่แม่ขะจาน เรียบร้อยแล้วรีบเดินสำรวจรอบ ๆ บันทึกภาพไว้ได้ ๕ บาน…

๑๐.๐๐ น. รถออกจากสถานีขนส่งแม่่ขะจาน มุ่งหน้าสู่อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง…

ทุกวันนี้แม่ขะจานเปลี่ยนไปเยอะ เจริญจนผมจำเกือบไม่ได้!

อาทิตย์นี้ไม่มีเอแคร์

เมื่อวานนี้ผมเขียนเรื่อง “อย่าเสือก!” ลงใน บล็อกช่างเหอะ รู้สึกว่าตัวเองชักจะปากจัดขึ้นมาก อาจเนื่องมาจากอากาศร้อนก็ได้ อิอิ ได้ข่าวมาว่าวันนี้อากาศจะร้อนจัดอีกหนึ่งวัน แถมยังอาจมีพายุฤดูร้อนอีกด้วย!! ใน blogroll ซึ่งอยู่ด้านข้างมีลิ้งค์ “แผ่นดินไหว” อยู่ ผมเข้าไปเช็คบ่อย ๆ เพื่อเตือนสติ!

เช้านี้ครูหน่อยพาบาร์บี้มาเรียยเชลโลตามปกติ บาร์บี้สามารถเรียนได้ ๑ ชั่วโมงเต็ม ๆ โดยไม่อิดออด เปลี่ยนจากตอนที่เริ่มเรียนใหม่ ๆ ไปเป็นคนละคน เรียนในห้องปรับอากาศบนชั้นสอง…บาร์บี้ขอให้คุณพ่อออกจากห้อง ไม่ต้องนั่งเฝ้า ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะแต่ก่อนบาร์บี้ไม่ยอมอยู่ห่างคุณพ่อ!!

บาร์บี้เล่นเพลง Sakura ในหนังสือ Alfred’s Strictly Strings ฟังแล้วเข้าท่าดี ผมบอกนักเรียนว่าถ้าแสดงอีกครั้ง ควรจะเล่นเพลงนี้ ยังไม่มีกล้องถ่ายรูปตัวใหม่…ผมใช้มือถือถ่ายรูปนักเรียนในขณะบรรเลงเพลง Sakura ภาพออกมามัว ๆ คล้ายภาพสียุคเก่า แต่ก็ดูดีนะครับ….

นิ้วของบาร์บี้เริ่มแข็งแรงขึ้น ข้อมือก็ไม่หักงอเหมือนแต่ก่อน ผมหวังว่าเด็ก ๆ จะยังคงเรียนและเล่นดนตรีด้วยกันไปเรื่อย ๆ จนโต และหวังว่าจะมีเด็กอื่นเข้ามาสมทบอีกในอนาคต ว่าไปแล้วก็คิดถึง “เจ้าขา” นะ…

อ่อ…ตอนที่ผมติดป้าย “อนุบาลเรียนฟรี” ใหม่ ๆ มีผู้ปกครองท่านหนึ่งเคยพาลูกสาวมาติดต่อ ปรากฏว่าเด็กยังเล็กอยู่มาก ผมบอกให้โตขึ้นอีกหน่อยแล้วค่อยพามา ปีนี้ท่านติดต่อมาอีก พาลูกสาวมาให้ดูตัว เด็กก็ยังเล็กเกินไป ผมบอกว่าเครื่องดนตรีที่จะใช้คงหาซื้อไม่ได้ หนูน้อยรบเร้าว่า “อยากเล่น ๆๆ” คุณแม่บอกว่าให้ลูกเล่นไวโอลินพลาสติกที่บ้านไปก่อน คุณลูกกลับบอกว่า “อยากเล่นที่เป็นไม้ ๆ…” นับเป็นเด็กคนแรกที่แสดงอาการอยากเรียนไวโอลินอย่างเห็นได้ชัด! ผมปลอบใจด้วยการนำไวโอลิน 1/2 ของผมออกมาให้ได้สัมผัส เด็กน้อยคว้าไปถือแบบไม่ยอมปล่อย แต่ไวโอลินใหญ่เหลือเกิน!! คุณแม่บอกว่า “เดี๋ยวจะให้คนที่ญี่ปุ่นซื้อไวโอลินตัวเล็กส่งมาให้”

๒-๓ วันต่อมา ช่วงค่ำ ๆ คุณแม่ขับรถเก๋งคันงามสีขาวมาจอดหน้าบ้าน แล้วโทรติดต่อให้ผมลงไปดูเอกสารเกี่ยวกับไวโอลินขนาด 1/16 ซึ่งมีขายในเว็บ ในราคา ๒ พันกว่าบาท ผมลงไปดูภาพและรายละเอียดแล้ว…ให้ความเห็นว่าใช้ได้ คุณแม่บอกว่าจะซื้อให้ลูกเรียน!

ไม่มีปัญหาครับ…ท่านจะซื้อที่แพงกว่านั้นก็ยังได้ ไม่อยากบอกว่าความจริงผมก็สั่งให้ได้ในราคาที่ถูกกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่เกรงว่าผู้ปกครองจะคิดว่าผมแสวงหากำไรในการสั่งซื้อไวโอลินให้นักเรียน ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผมมีแต่บริการให้ฟรี แถมบางครั้งยังถอดอะไหล่ไวโอลินตัวเองไปใส่ให้ไวโอลินเด็ก ๆ ซะอีก อิอิ

เล่าต่อเรื่อง string class อาทิตย์นี้เด็กมาเรียนไม่ครบอีกแล้ว เอแคร์ไปเรียนภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์ น้องเบลล์และน้องแบ๊งค์ขอลาต่อ ผมจัดให้เด็ก ๆ เรียนกันที่ชั้นล่าง(กับเจ้าแกรนด์เปียโน)เหมือนตอนหัดเล่นใหม่ ๆ เพราะอากาศที่ชั้นล่างไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนที่ชั้นลอย!

String Class ผ่านไปแล้วด้วยดีอีกวันนึง!

ผมได้ทราบว่ามะเหมี่ยวจะสอบเทียบไวโอลินเกรด ๓ ของทรินิตี้ ครูหนิงได้เลือกเพลงให้แล้ว ๒ เพลง ดูแล้วก็ไม่ยากนัก คิดว่าน่าจะสอบผ่าน แต่จะได้คะแนนมากน้อยเท่าใดอยู่ที่ว่าจะบรรเลงให้เพลงเป็นเพลงได้ดีแค่ไหนเท่านั้นเอง

อืมม…ถ้าผมยังดันทุรังสองมะเหมี่ยวอยู่ ไม่ส่งไม้ต่อให้ครูที่เก่งจริงทางด้านไวโอลิน นักเรียนคงไม่มีโอกาสได้สอบเทียบกับเค้า

ต่อแต่นี้ไป ผมคงได้แต่เฝ้ารอฟังผลการสอบของมะเหมี่ยว…พร้อมกับกำลังใจที่มอบให้

เมื่อบทโหมโรงเริ่มบรรเลง…

เช้าวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๕ เมื่อผมก้าวเดินสู่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่แห่งที่ ๓ ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น (หลังจากว่างเว้นการเดินทางแบกเป้ไปต่างประเทศมานานถึง ๓ ปี) บทโหมโรงของการเดินทางสู่ลาวและเวียดนามก็เริ่มต้นบรรเลง…

ก่อนก้าวเดินไปยังชานชาลาที่ 19… ผมใช้มือคลำดูกระเป๋าเสื้อจิงโจ้ที่สวมใส่อยู่อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ลืมกระเป๋าสตางค์และเอกสารสำคัญ เวลา ๘ นาฬิกา…เสียงเพลง “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ดังออกลำโพง ระหว่างหยุดยืนเคารพธงชาติ…ความคิดผมล่องลอยไปถึงเด็กนักเรียนโรงเรียนเพ็ญจิตตพงษ์ และช่วงเวลาปีกว่า ๆ ที่ผมไปสอนแทนพี่ชายที่โรงเรียนดังกล่าว ผมเคยฝันที่จะเห็นเด็กนักเรียนร้องเพลงชาติได้ถูกคีย์ หรือให้เพี้ยนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็รู้ดีว่ามันเป็นไปได้ยาก ตราบเท่าที่ระบบการศึกษาของไทยเรายังคงเป็นไปอย่างเช่นทุกวันนี้ นึกถึงกระเต็น บาร์บี้ และอินดี้ ซึ่งสามารถร้องเพลงชาติได้ถูกเสียง…ผมเคยบอกให้ร้องเพลงชาติอย่างมีพลังในขณะเคารพธงชาติที่โรงเรียน เด็ก ๆ ผู้มีความสามารถในการร้องเพลงน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเพื่อน ๆ และครูบางคน ไม่รู้เหมือนกันว่านักเรียนจะทำตามที่ผมแนะนำหรือเปล่า…

รถเมล์เขียวไปเชียงของยังไม่เข้าเทียบชานชาลา ระหว่างที่รอ…ผมสอดส่ายสายตาเพื่อจะใช้เจ้า Canon PowerShot A460 บันทึกภาพนักเดินทางเอาไว้ ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าจัดว่าเป็นนักเดินทางเช่นกัน แต่จะเพื่อแสวงบุญหรือเปล่า…ผมไม่อาจรู้ได้!

ทุกชีวิตต่างมีเส้นทางชีวิตของตน การรอคอยเป็นส่วนหนึ่งที่ฝึกให้ชีวิตรู้จักความอดทน…

เวลา ๘.๑๐ น. รถ Green Bus ที่รอคอยก็เข้าเทียบชานชาลา ตรงตามที่ระบุไว้ในตั๋วโดยสารว่า “กรุณามารอรถก่อนเวลา 20 นาที” เจ้าหน้าที่เริ่มติดป้ายสัมภาระแล้วนำเข้าเก็บไว้ใต้ท้องรถ….

ผู้โดยสารเช็คตั๋วแล้วเดินขึ้นไปหาที่นั่งบนรถ เที่ยวนี้มีนักเดินทางฝรั่ง ๕-๖ คน…

เวลา ๘.๓๖ น. รถเคลื่อนออกจากสถานีขนส่ง พนักงานสาวสวยกล่าวทักทายผ่านเครื่องขยายเสียงเพียงสั้น ๆ แจ้งว่าการเดินทางจะใช้เวลาประมาณ ๖ ชั่วโมงครึ่ง

บทโหมโรงเริ่มบรรเลงแล้วครับ!

Tips: รถเมล์เขียววิ่งจากเชียงใหม่ไปเชียงของ เที่ยวเช้าออกจากสถานีขนส่งอาเขตเชียงใหม่ เวลา ๘.๓๐ น. เป็นรถโดยสารปรับอากาศชั้น ๒ (ไม่มีห้องน้ำ) ค่าโดยสารคนละ ๒๑๑ บาท แนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้า

ต้องอยู่ได้ซิน่า

ปั่นจักรยานไปตลาดเก๊าจาวเช้านี้ทำให้ผมมีเรื่องเขียนต่ออีก เรื่องกล้วย ๆ อย่างเช่น “กล้วยตาก” ที่ผมเพิ่งเขียนลงในบล็อกช่างเหอะ ช่วยประโลมใจให้รู้ว่า…แม้การบริหารประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะทำให้ราคาสินค้าดีดตัวขึ้นไปแค่ไหน ผมก็ยังคงอยู่ได้ด้วยเศรษฐกิจพอเพียงและการจับจ่ายที่ไม่ฟุ่มเฟือย

เช้านี้พกเงินไป ๑๑๐ บาท ผมซื้อกล้วยน้ำว้าอย่างที่เห็นในภาพ (๔๐ บาท) ขอให้คนขายแยกใส่เป็น ๒ ถุง เพื่อคล้องกับแฮนด์รถแล้วสมดุล จะได้ไม่ยากต่อการขี่จักรยานกลับบ้าน คนขายใส่ถุงให้เป็นอย่างดี

เห็นมะม่วงมากมายในตลาด มีทั้งอกร่อง น้ำดอกไม้ เขียวเสวย ผมมองไปทางไหนก็เห็นมะม่วงสุกเหลืองอร่าม กิโลกรัมละ ๑๕ บาทเอง! เสียดายจังผมเหลือตังค์ไม่พอซื้อ จ่ายค่าข้าวเหนียวดำ ๑ ห่อ (๖ บาท) นำเงินทอน ๔ บาทใส่ลงในขันของวนิพกที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ แล้ว…ผมก็เกลี้ยงกระเป๋า!

อาหารเช้าวันนี้ มีอะไรกินบ้าง?

บะหมี่แห้ง(๑๐ บาท) เต้าฮวย(๗ บาท) และกล้วยน้ำว้า(๑ บาท) ผมอยู่รอดไปได้อีกหนึ่งมื้อ! ต้องอยู่ได้ซิน่า

เช้านี้…ผมจัดอาหารเช้าไปให้พี่ชาย มีหมี่เกี้ยวและไอศกรีม พี่สิทธิ์นั่งรออยู่แล้วในห้องครัว ไม่มีคำพูดใดออกจากปาก ไม่มีสายตาที่เปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจเปิดออกให้เห็น การถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวเกือบ ๒ อาทิตย์มิได้ช่วยทำให้พี่เค้าเกิด”คิดใหม่ทำใหม่” แต่อย่างใด หลังจากที่ผมต้องไปยกมือไหว้ขอบคุณคนข้างบ้านที่ได้ช่วยหาอาหารให้และต่อน้ำให้พี่ชายได้อาบแล้ว ถึงวันนี้ทุกอย่างก็กลับไปสู่สภาพเดิม

ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ ตอนพาพี่ชายไปหาหมอที่สถานีอนามัยบ้านแม่กืย(ชื่อเดิม)เพื่อรับยา พี่สิทธิ์เจริญอาหาร น้ำหนักที่ชั่งได้วันนั้นคือ ๙๐ กิโลกรัม!

วันนี้อากาศยังคงร้อนจัด ผมพูดเรื่องของกินแล้วแฉลบออกไปเรื่องของพี่ชายหน่อยนึง เพื่อน ๆ คงไม่ว่ากระไร

ผู้ชายชื่อ”หมู”

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ช่วงประมาณห้าโมงเย็น พี่สิทธิ์บอกผมว่า “เมื้อกี้…มีผู้ชายใส่แว่นมาหา เค้าเอาสับปะรดมาให้ด้วย” ผมถามว่า “อ้าว…แล้วทำไมไม่เรียกล่ะ?” ทั้ง ๆ ที่สมองยังคิดไม่ออกว่าผู้ชายสวมแว่นชื่อหมูคนนั้นคือใคร! ผมได้แต่คิดว่า…ถ้าเค้ามาหาอย่างนั้น ก็คงต้องมีเรื่องจะมาคุยด้วย อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมพี่สิทธิ์ถึงไม่คิดที่จะเรียก ได้แต่บอกผู้มาเยือนว่า “เค้าอยู่ข้างบนโน่น” คุณหมูบอกว่าได้โทรศัพท์ถึงแล้วแต่ไม่รับ อาจจะหลับอยู่ แล้วจะมาหาอีกครั้ง!

ความจริงผมก็ไม่ได้หลับหรอกครับ เพียงแต่โทรศัพท์ถูกปิดเสียงเรียกไว้โดยไม่ตั้งใจ! ผมเห็นเบอร์ Missed Call แล้ว ก็ยังคิดไม่ออกว่าผู้ชายชื่อ”หมู” คือใคร? ต้องนั่งทบทวนก่อนที่จะโทรกลับไป แฟ้มภาพในสมองของผมถูกรื้อค้น…ย้อนกลับไปถึงวันที่ชายชื่อ”หมู”ได้แวะมาหาที่บ้านพร้อมกับโครงการต่าง ๆ

เขาผู้นั้นคือ กิติพันธ์ ปุณกะบุตร หรือ อาจารย์หมู ผู้มีชื่อเสียงในวงการเพลงคนหนึ่งของเมืองไทย ผมก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนนะ เพิ่งได้มารู้จักมักคุ้นก็ในวันที่ท่านแวะมาเยี่ยมเยียนนั่นแหละ อาจารย์ต้อมแห่ง etc. แนะนำมา

อาจารย์หมูเคยแวะมาคุยเรื่องโครงการที่จะเปิดโรงเรียนดนตรีสมัยใหม่ในลำปาง ท่านมาพร้อมกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ใหม่ ๆ และอะไรต่อมิอะไรที่ต้องสาธิตให้ผมได้ชมด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค…

และจากเจ้า iPad ตัวสี่เหลี่ยมที่มีรูป ukulele ปรากฏชัดเจน…

อาจารย์หมูเป็นคนเก่ง พูดเก่ง บุคลิกดี ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย ดูน่าเชื่อถือ ผมจำได้แล้ว

พอนึกออก…การติดต่อกลับไปยังอาจารย์หมูก็ทำได้โดยง่าย วันรุ่งขึ้น…อาจารย์หมูก็แวะมาหา มีเรื่องคุยมากมาย ผมต้องขออุบไว้ก่อน เพราะยังไม่ได้ไปดูสิ่งที่ได้ยินมา หากได้ข้อมูลพร้อมกับภาพถ่ายความคืบหน้าในโครงการของอาจารย์หมูมาแล้ว ผมจะนำมาบอกต่อ เพื่อรายงานว่าผู้ชายใส่แว่นที่ชื่อหมู (กิติพันธ์ ปุณกะบุตร) กำลังจะมาทำอะไรที่ลำปาง

แล้วจะได้รู้กันว่าคนมีชื่อเสียงในแวดวงการดนตรีอย่างนั้น จะมาอยู่เมืองปราบเซียนอย่างเช่นนครลำปางได้หรือ!!

เที่ยวอย่างไรให้ประหยัด?

ผมเขียนเรื่อง “ซ่อม shoulder rest ให้นักเรียน…” ลงในบล็อกช่างเหอะเรียบร้อยแล้ว กำลังคิดว่าวันนี้จะเล่าเรื่องอะไรให้เพื่อนฟังดี! อากาศร้อน ๆ อย่างนี้ก็ทำให้สมองตื้อได้เหมือนกัน!

เรื่องแรกที่อยากบอกก็คือ ผมคิดไม่ผิดที่ได้เปลี่ยนไปใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของ 3BB เพราะเท่าที่ใช้มา…มันรวดเร็วและเสถียรกว่า HiNet ช่วยให้ผมอัพโหลดหนังสือขึ้น 4shared ได้เร็วขึ้น การดาวน์โหลดหนัง TV series ดี ๆ อย่างเช่น Alcatraz ซึ่งมีขนาดไฟล์ 3.94 GB ก็ใช้เวลาน้อยลง (แล้วจะส่งให้คุณดำรงได้ดูนะครับ)


อีกเรื่องนึงที่อยากจะส่งข่าวไปยังคุณไพสิทธิ์ ก็คือ ไวโอลิน Paisitt ที่ได้กรุณาสร้างแล้วมอบให้ผมมาเป็นคู่ใจนั้น ตอนนี้มีเสียงดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ผมรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่งครับ…

ขอคุยเรื่องค่าใช้จ่ายที่ผมหมดไปกับการท่องเที่ยว ๒ ประเทศ ๑๑ วันหน่อยครับ… ผมยังไม่ได้รวมออกมาเป็นตัวเลขให้เห็น แต่คิดว่า ถ้าไม่รวมค่ารองเท้ายาง เสื้อกันหนาว หมวกเวียดนาม และของฝาก น่าจะไม่เกิน ๗,๐๐๐ บาท

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะผมรู้จักอยู่และรู้จักกิน ทำให้ประหยัดได้เยอะ อย่างเช่น…บางครั้งแทนที่จะนั่งรถตุ๊ก ๆ ผมก็เดินแบกเป้ไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะเหนื่อยและร้อน แต่ผมก็ได้สัมผัสกับชาวบ้าน ได้เห็นชีวิตตามเส้นทางที่ผ่านไป ไม่ต้องพูดอะไรมาก…อย่างเช่นถนนหลักของเมืองเชียงของ จากจุดที่รถเมล์เขียวจอดไปยังที่พัก จากที่พักไปยังท่าเรือบั้ค หรือจากท่าเรือกลับไปยังท่ารถ ผมเดินแบกเป้ตลอด ไม่เคยเสียค่ารถรับจ้างเที่ยวละ ๔๐ บาท เดินไป…หยุดถ่ายรูปไป สำรวจไปให้ทั่ว นอกจากได้เห็นอะไรมากกว่าคนอื่นแล้ว…ผมยังประหยัดเงินได้อีกตั้งเกือบ ๒ ร้อยบาท!

ถ้าไม่เดิน…ภาพเช่นนี้ก็คงไม่ได้เห็น

หรืออย่างภาพนี้…

อย่างเช่นที่พักในซาปา เวียดนาม ผมก็อดทนเดินหาจนเจอโรงแรมที่ได้จดจำชื่อไว้จากเว็บ ๆ นึง เค้าบอกว่าคืนละ $8 ผมบอกว่าเป็นคนไทย มีคนแนะนำให้ไปพักที่นั่น ขอลดหน่อยน่า เค้าก็ลดให้เป็น $7

เพื่อน ๆ ลองคิดดูซิครับ สำหรับห้องพักที่มีสุขภัณฑ์อย่างดีอย่างที่เห็นในภาพ มีทีวี (ไม่มีแอร์…แต่มีเตาผิง) จ่ายแค่คืนละ ๒๓๘ บาท จะอยู่สักอาทิตย์หนึ่งก็ยังไหว!

เรื่องอาหารหรือ…ถ้ารู้จักกินก็ใช่ว่าจะแพงไปเสียทุกอย่าง อย่างเช่นอาหารเช้าชุดละ $2 อย่างที่เห็นในภาพ…

มีคนคุยให้ผมฟังก่อนแล้วว่าข้าวผัดกะเพราหมูที่ลาวจานละเป็น ๑๐๐ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ผมไม่กิน! อยู่ลำปาง…ผมไปกินที่บ้านสบตุ๋ย ข้าวผัดกะเพราเต้าหู้เผ็ด ๆ แค่ ๓๐ บาทเอง

ที่หลวงพระบาง ผมเดินไปกินร้านอาหารอินเดียซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเฮือนพัก สั่งกิน Vegetable Curry กับ Chapati 2 แผ่น และน้ำดื่มเย็น ๆ อีก ๑ ขวด รวมแล้วแค่ ๒๕,๐๐๐ กีบ (ซาวห้าพัน)

กินไป…นั่งดูสาว ๆ เล่นน้ำสงกรานต์ไป

เผลอแป๊ปเดียว…เกลี้ยงชามแล้ว!

อาหารแขกแซบอีหลีซึ่งอยากกินมานานแล้ว ผมจ่ายแค่มื้อละ ๑๐๐ บาทเอง

เป็นตัวอย่างของการเที่ยวแบบประหยัดครับ…

a man with big belly

เคยพูดเรื่อง “เสื้อจิงโจ้…สิ่งที่ขาดไม่ได้” ใน “บล็อกช่างเหอะ” ผมเดินทางไปลาวและเวียดนามครั้งที่แล้ว…เจ้าเสื้อจิงโจ้ ๔ ตัวที่นำไปด้วยก็ได้ทำหน้าที่ช่วยพิทักษ์รักษาเงินทองและเอกสารสำคัญไว้ได้เป็นอย่างดี ผมรู้สึกอุ่นใจเมื่อของสำคัญอยู่แนบกายตลอดเวลา แม้จะทำให้ร่างกายดูคล้ายคนลงพุงเอามาก ๆ แต่ผมก็ไม่รู้สึกอาย พนักงาน Queen Hotel ใน Sa Pa, ประเทศเวียดนาม รู้ดีว่าผมไม่ได้ลงพุงมากมายถึงขนาดนั้น เธอล้อผมว่า “Big money!” ผมบอกว่า “แล้วอย่าลืม a man with big belly จาก Thailand ก็แล้วกัน”

ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งในการจัดของลงเป้ของผมก็คือ ผมลืมเสื้อกันหนาว จริง ๆ แล้วผมตั้งใจจะนำเสื้อกันหนาวสีขาวตัวที่โน้ตตัวเล็กซื้อให้ไปด้วย แต่กลับลืมเสียสนิท! เสื้อที่นำไปด้วยมีแต่เสื้อแขนสั้น!

เจอกับบรรยากาศอย่างที่เห็นในภาพ…ผมมองไปทางไหนก็มีแต่คนสวมเสื้อกันหนาว หุหุ แล้วตาแก่จากลำปางจะทนหนาวได้ไหวหรือ?

รองเท้าที่ใส่อยู่ก็พื้นหลุด! เสื้อกันหนาวก็ไม่มี วันที่สองใน Sa Pa ฝนก็ตกซะอีก! ผมสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นออกไปหาซื้อรองเท้าและเสื้อกันหนาวที่ร้านขายสินค้า trekking ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ที่พัก

โห…แพง ๆ ทั้งนั้น! ซื้อไม่ได้หรอก ขนาด Sweater ธรรมดาบาง ๆ ถูกสุดแล้วยังตัวละ $12 รองเท้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง! ผมถอยกลับออกมาตั้งสติแล้วบอกตัวเองว่าจะต้องหาซื้อเสื้อกันหนาวให้ได้ แต่ต้องไม่แพงนัก!

ในที่สุดผมก็ไปซื้อเสื้อกันหนาวผลิตในเวียดนามได้ในราคาตัวละ $8

ตัวสีน้ำเงินที่เห็นใส่อยู่ในภาพงัยครับ!

ครูหน่อยและครอบครัวมาดำหัว

อากาศร้อนสุด ๆ! นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องลุกขึ้นอาบน้ำตอนตีสาม และก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ผมต้องย้ายให้เด็ก ๆ เข้าไปเรียนในห้องปรับอากาศ ทำให้ผมต้องคิดถึง “ซาปา” เมืองซึ่งถ้าใครไปเปิดร้านขายเครื่องปรับอากาศคงต้องเจ้งทุุกรายไป

ขออนุญาตยกเอาตารางภูมิอากาศเมืองซาปาจาก wikipedia มาให้เพื่อน ๆ ได้ดูซักหน่อย ดังนี้…

Climate data for Sa Pa, Vietnam
Month Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec Year
Average high °C (°F) 12
(54)
11
(52)
18
(64)
19
(66)
20
(68)
25
(77)
23
(73)
22
(72)
21
(70)
19
(66)
15
(59)
11
(52)
18
(64)
Daily mean °C (°F) 8
(46)
7
(45)
14
(57)
17
(63)
17
(63)
20
(68)
19
(66)
19
(66)
18
(64)
16
(61)
11
(52)
8
(46)
14.5
(58.1)
Average low °C (°F) 4
(39)
3
(37)
10
(50)
15
(59)
15
(59)
16
(61)
15
(59)
15
(59)
14
(57)
13
(55)
7
(45)
5
(41)
11
(52)
Precipitation mm (inches) 140
(5.51)
80
(3.15)
100
(3.94)
140
(5.51)
285
(11.22)
290
(11.42)
490
(19.29)
670
(26.38)
260
(10.24)
195
(7.68)
140
(5.51)
50
(1.97)
2,840
(111.81)
Snowfall cm (inches) 0.3
(0.12)
0.4
(0.16)
0
(0)
0
(0)
0
(0)
0
(0)
0
(0)
0
(0)
0
(0)
0
(0)
0
(0)
0.1
(0.04)
0.8
(0.31)
Source: OPENTOUR JSC

อย่างเนี้ยแล้ว…ใครคิดเอาเครื่องปรับอากาศไปขาย ผมก็ไม่รู้จะว่างัยแล้ว!!

ปีหน้า…ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะกลับไปซาปาอีกครั้ง ในช่วงเดือนมกราฯ หรือกุมภาฯ เพื่อสัมผัสกับหิมะ และนอนอยู่หน้าเตาผิงอย่างที่เห็น ใครจะไปกับผมบ้าง?


ขอคุยเรื่อง string class หน่อยนะครับ วันนี้มีนักเรียนรวม ๕ คนคือ บาร์บี้ กระเต็น เมเปิล เอแคร์ และอินดี้ เรียนกันในห้องแอร์…ไม่เห็นมีใครบ่นเรื่องอากาศร้อนหรือกลิ่นเหม็นจากโรงงาน ผมให้นักเรียนฝึกเล่นตามขั้นตอนเดิม คือเล่นเสกล ทบทวนบทเพลงในตำราซูซูกิ และฝึกเพลงใน Strictly Strings เล่ม ๑ ช่วงพัก ๒๐ นาที นักเรียนส่วนหนึ่งลงไปเล่นที่ชั้นล่าง ขณะที่บางคนสนใจซ้อมต่อในห้องแอร์…

ตอน ๑๑ โมงเช้า บาร์บี้มาเรียนเชลโล ผมสังเกตเห็นว่านักเรียนตัวโตขึ้นเยอะ ความตั้งใจก็มีมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว มันทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาก…

ก่อนเรียน คุณพ่อและคุณแม่พาบาร์บี้มารดน้ำดำหัว โดยจัดเตรียมน้ำส้มป่อยใส่ขันเงินวางบนพานมาให้เสร็จ พร้อมกับอาหารหวานคาว และเสื้อผ้าซึ่งมีทั้งเสื้อกล้ามตราห่านคู่ (เหมาะสำหรับทำเสื้อจิงโจ้) เสื้อขาวคอกลมแบบใส่ไปวัด และกางเกงแพร นอกจากนั้นก็ยังมีซองซึ่งเขียนคำอวยพรปี๋ใหม่เมืองไว้ข้างหน้าดังนี้…

สิ่งที่อยู่ในซองทำให้ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะมันคือธนบัตรใบละ ๑ พันบาทจำนวน ๓ ใบ!!

ผมต้องขอขอบคุณในน้ำใจของครอบครัวครูหน่อยเป็นอย่างยิ่ง ขออนุญาตนำปัจจัยจำนวนนี้เก็บไว้เป็น travel budget สำหรับการเดินทางครั้งต่อไป เหมือนกับที่ผมได้สอนพิเศษวิชาทฤษฎีดนตรีให้น้องซ๊อปแล้วได้เงินซึ่งไม่คาดคิดมาก่อนจำนวน ๒,๔๐๐ บาท ทำให้สามารถเดินทางไปลาวและเวียดนามได้ ได้เดินทางท่องโลกครั้งใด…ผมก็จะมีอะไรดี ๆ เก็บเกี่ยวกลับมาด้วย เพื่อที่จะแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ได้อย่างไม่รู้จบ อีกไม่นาน…ผมจะไปพม่าอีก ๑ อาทิตย์ งบประมาณที่ได้รับจากครูหน่อยและครอบครัวจะช่วยให้ความฝันเป็นจริงอย่างแน่นอน

วันนี้ผมเขียนเรื่อง “ยางโอริงและซีลแกนปั้ม” ในบล็อกช่างเหอะเรียบร้อยแล้ว ยังมีเรื่องอยากบ่นเกี่ยวกับพี่ชายอีกหลายเรื่อง แต่ผมขอเก็บความรู้สึกนั้นไว้คนเดียว…ไม่ขอนำสิ่งไม่ดีไม่งามมาเล่าให้เสียหน้าและเป็นที่รำคาญใจสำหรับเพื่อน ๆ ผมหวังว่าต่อไปจะมีแต่เรื่องดี ๆ มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังเท่านั้น!

อ่อ…อยากบอกว่าสาวเวียดนามสวยมั่ก ๆ ครับ ผู้คนก็ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน แม้สิ่งก่อสร้างจะยังล้าหลังไทยเรา แต่คนเวียดนามดูจะมีหิริโอตัปปะสูงกว่าคนไทย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักการเมือง อิอิ) ความขยันขันแข็งของคนเวียดนามก็ต้องยกให้เค้าเลย ผมไม่แปลกใจที่ปัจจุบันนี้เวียดนามกลายเป็นประเทศส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก…แซงประเทศไทยไปแล้ว! เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นข้าวเขียวขจี แม้ที่ว่างริมทางหลวงก็ปลูกข้าว บนภูเขาก็ทำนาแบบขั้นบันได ในขณะที่เมืองไทยคนรวยซื้อที่ไว้มากมายมหาศาล…แล้วปล่อยให้รกร้าง!

เห็นแล้ว…ผมจะต้องรีบปรับปรุงพื้นที่หลังบ้านให้เป็นสวนครัวให้ได้โดยเร็ว!

ถือโอกาสนำนิตยสาร New Zealand Gardener ฉบับใหม่ล่าสุด ประจำเดือนพฤษภาคม มาฝากซะเลย คลิกดาวน์โหลดได้ ที่นี่

ขอบคุณสำหรับน้ำใจจากเพื่อน ๆ ทุกคนครับ

returned home safe and sound

จริง ๆ แล้ว…ผมกลับถึงลำปางตั้งแต่วันที่ ๑๗ แต่ไม่สามารถรายงานตัวให้เพื่อน ๆ ได้รับทราบ เนื่องจากก่อนออกเดินทางแบกเป้…ผมได้ไปแจ้งเลิกใช้ HiNet เอาไว้ พอกลับถึงบ้านจึงยังเข้าเน็ตไม่ได้

หลังจากไปติดต่อขอใช้อินเทอร์เน็ตจากค่าย 3BB โดยเลือก package 6 MB (เดือนละ ๕๙๐ บาท) เช้าวันนี้เค้าเพิ่งมาติดตั้งให้…

มีช่างมา ๒ คน เป็นชาย ๑ หญิง ๑ เค้ามากันตั้งแต่ ๘ โมงครึ่ง ผมถามว่า 3BB มีลูกค้ามากไหม ช่างบอกว่ามีเยอะมาก เฉพาะวันนี้ต้องติดตั้งถึง ๘ ราย อืมม…ผมหวังว่าอินเทอร์เน็ตของ 3BB คงจะไม่ทำความผิดหวังให้นะ

พอเข้าเน็ตได้ สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือ การเมล์แจ้งให้ผู้ปกครองทราบว่า string class วันอาทิตย์นี้ สามารถพาลูก ๆ มาเรียนได้ตามปกติแล้ว จากนั้นผมก็ลองทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตของ 3BB เพื่อเปรียบเทียบกับ HiNet ของ CAT ปรากฏว่าผมสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วค่อนข้างจะดีกว่าเดิม ผมดาวน์โหลดนิตยสาร Bicycling ฉบับล่าสุดเดือนพฤษภาคมนี้ได้โดยใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ นาที

และด้วยความเร็วในการถ่ายโอน 31 kbs ผมอัพโหลดหนังสือดังกล่าวให้เพื่อน ๆ ได้โดยใช้เวลาแค่ ๑๐ กว่านาที (คลิกดาวน์โหลดได้ ที่นี่)

ผมคงจะมีเรื่องต่าง ๆ มาคุยกับเพื่อน ๆ อีกไม่รู้จบสิ้น ในขณะที่ไฟล์ต่าง ๆ ในห้องเก็บหนังสือลุงน้ำชาก็จะต้องถูกดูแลเป็นพิเศษ โดยอาศัยอินเทอร์เน็ตที่เพิ่งติดตั้งแล้วเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ หวังว่าผมจะมีสิ่งดี ๆ มานำเสนอให้กับเพื่อน ๆ ได้อีกมากเลยครับ…

วันนี้ขอแค่ส่งข่าวมายังเพื่อน ๆ ว่า ผมกลับมาถึงบ้านแล้ว ด้วยแขนขาที่สมบูรณ์ดีทุกอย่างครับ

Greeting from Sa Pa, Vietnam

Sitting here, in the Queen Hotel where I decided to stay longer to enjoy this wonderful misty town, Sa Pa, the coldest city in Vietnam. I am looking through the glass and seeing people walking by. I do miss my friends in Thailand and want to send this warm greeting from Sapa to all of you.

If you google on the internet and look for Sa Pa, Vietnam, you would know where I am at the moment. What a wonderful town, Sa Pa! I must accept that my 14-day travel in 2012 to Vietnam would not be fulfilled without a visit to Sa Pa! And I really hope that some friends of mine would have a chance to visit this beautiful town being hugged by the thick fog in one of these days!

It rained this morning and in the afternoon I could see nothing from the distance 20-30 meters whilst walking along the lake.

Well…I have too many things to tell you but need to go shopping before starving to death.

April 10, right now at 7.30 AM, I’m waiting for a minibus going back to Dien Bien Phu. Tomorrow I would be in Laos for sure.

See you then.