เพื่อน ๆ ที่รัก! หลังจากจบเรื่อง “ท่องพม่า” ผมก็คิดว่าต่อจากนี้ไปคงมีเรื่องไร้สาระนำมาบ่นใ้ห้ฟังอีกเช่นเดิม ผมก็ต้องเกริ่นไว้ก่อนว่าได้พยายามที่จะหลีกเลี่ยงข่าวสารซึ่งทำให้เครียดมาโดยตลอด แต่ก็ไม่วายอ่านเจอข่าวที่ทำให้คิ้วขมวด อย่างเช่นข่าวว่า “ตำรวจจับ เจ้าอาวาสวัดดังลุยเดี่ยวขับรถยนต์ลอบขนหนังเสือโคร่งหนีด่าน….”
บ้างก็อ่านแล้วเศร้าใจ อย่างเช่น “นักปั่นจักรยานรอบโลกชาวต่างชาติถูกรถยนต์กระบะชนกระเด็นไปไกลประมาณ 20 เมตร นอนเสียชีวิตหมกอยู่ภายในป่าละเมาะข้างทางพร้อมด้วยรถจักรยานคันสีดำ 1 คัน และคันสีน้ำเงิน 1 คัน สภาพพังยับ…”
ผมเคยบอกแล้วว่าการปั่นจักรยานบนถนนหลวงของไทยเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ๆ คนไทยขับรถเร็ว ไม่เคารพกฎจราจร คนขับรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจคนเดินเท้าหรือคนปั่นจักรยาน เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านแล้ว..ท้องถนนของพี่ไทยเราอันตรายที่สุด!!! ยิ่งนโยบายรถคันแรกทำให้รถใหม่ออกมาวิ่งอีกเป็นล้านคัน อันตรายก็ยิ่งเป็นทวีคูณ…
ดูสิ…นึกจะจอดตรงไหนก็จอด ทางม้าลายมีไว้สำหรับคนข้ามถนน ไ่ม่ใช่ให้เอารถไปจอดขวางไว้นะ(โว้ย)!
ข่าวเหตุร้ายทางภาคใต้ก็ทำให้ผมรู้สึกเสียใจ เป็นห่วงมาก ๆ กับสถานการณ์ที่เลวร้ายลงทุกที (คิดถึงเพื่อนรักที่อยู่ทางภาคใต้)
บางครั้งก็เดือดปุด ๆ เมื่อได้เห็นความกร่างของนักการเมือง ผมรับไม่ได้กับคนโกงที่ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ในสังคม
แล้วผมจะทำอย่างไรถึงจะมีความสุขอยู่ได้ตามอัตภาพ? ก่อนอื่นก็ต้องไม่หมกมุ่นอยู่กับข้อมูลข่าวสารที่จะทำให้เกิดทุกข์ พยายามใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่จำเป็นก็ไม่ออกไปสัมผัสความฟุ้งเฟ้อข้างนอก มีเวลาว่างก็หากิจกรรมสร้างสรรค์ทำ…
หากขายบ้านได้ ผมยังคงอยากอยู่ลำปาง แต่จะย้ายไปอยู่บัานหลังเล็ก ๆ ในเนื้อที่ไม่เกิน ๑๐๐ ตารางวา ตั้งใจว่าจะปลูกต้นไม้ เลี้ยงไก่ และใช้เครื่องมือที่มีอยู่ปรับปรุงบ้านสวนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็ก ๆ…
พูดถึงเรื่องเด็ก ๆ… วันนี้มี String Class ตามปกติ นักเรียนมากันครบ เราฝึกซ้อมกันเต็มที่ โดยเริ่มอุ่นเครื่องด้วยการเล่นเสกลก่อน ๑๕ นาที แล้วทบทวนเพลงเก่าอีก ๑๕ นาที จากนั้นก็เล่นแบบฝึกหัดในตำรา Strictly Strings ของ Alfred จนถึงบ่ายสองโมงถึงได้พัก ผมให้เด็ก ๆ ได้พักนานถึง ๓๐ นาที เพื่อจะได้กินของว่างและเล่นกันอย่างมีความสุข…
พอดีผู้ปกครองใจดีท่านหนึ่งได้มอบหนังสือสำหรับเด็กมาให้จำนวนหนึ่ง นักเรียนก็เลยมีโอกาสได้อ่านเพิ่มขึ้น…
ผลสำรวจผู้อ่านหนังสือที่มีอายุตั้งแต่ ๖ ปีขึ้นไป เกี่ยวกับพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรปี ๒๕๕๔ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ มีดังนี้:-
คนใช้เวลาอยู่กับหนังสือ น้อยลงๆ ทุกปี
ปี 2551อ่านหนังสือนอกเวลาเรียน-ทำงาน เฉลี่ย 39 นาที/ วัน
ปี 2554 อ่านหนังสือนอกเวลาเรียน-ทำงาน เฉลี่ย 35 นาที/ วัน
ปี 2555 อ่านหนังสือนอกเวลาเรียน-ทำงาน เฉลี่ย 31 นาที/ วัน
คนไม่อ่านหนังสือ และใช้เวลาอยู่กับอย่างอื่นแทน
ไม่อ่านหนังสือ 19.6 ล้านคน (ร้อยละ 31.4)
ผมบอกนักเรียนว่า “รู้มั้ย? เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยที่สุด คือแค่ปีละ ๕ เล่ม เด็กเวียดนามอ่านปีละ ๖๐ เล่ม เด็กญี่ปุ่นอ่านปีละ ๘๐ เล่ม…” เอแคร์แย้งว่า “หนูอ่านทุกวัน ๆ ละเล่ม…”
ส่วนบาร์บี้ (มือเชลโล) ลุกขึ้นมาหยิบหนังสืออีกเล่ม พร้อมกับพูดว่า “หนูอ่านจบ ๒ เล่มแล้ว…”
ใครมีหนังสือที่จะนำไปชั่งกิโลขาย หรือไม่รู้ว่าจะนำไปบริจาคที่ไหน ช่วยยกมาให้ลุงน้ำชานะครับ ต่อไปผมจะทำห้องสมุดและแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็ก ๆ ในชุมชนเล็ก ๆ ที่จะย้ายไปอยู่…
ทำห้องสมุดออนไลน์ก็โดนเล่นงานเรื่องลิขสิทธิ์ ผมคงต้องหันมาส่งเสริมให้เด็กได้อ่านแทน…
ต่อไปถ้ามีตังค์…ผมก็อยากขอให้เพื่อนนักวาดเดินทางจากเชียงใหม่ มาช่วยสอนเด็ก ๆ อีกแขนงนึง คงจะสนุกกันใหญ่
ก็ต้องรอดูว่าผมจะขายบ้านได้หรือเปล่า!