๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม ประมาณ ๑๑ โมงกว่า…ผมเดินผ่านลานกว้าง ตรงไปยังเจดีย์แหม่ละมุ (Maelamu Pagoda)
“ละมุ” หมายถึง “ลำพู” เว็บไทยวิกิพีเดีย บรรยายถึง “ลำพู” ว่า…
ลำพูมีลักษณะเรือนยอดเป็นทรงพุ่ม ลำต้นเป็นแบบ Pettis’s model มีการเจริญติดต่อกันไป ลำต้นค่อนข้างกลมมีกิ่งเกิดในแนวตั้ง เจริญทางด้านข้างมากกว่าทางยอด เมื่อลำต้นแตกหักจะสร้างกิ่งใหม่ขึ้นได้เนื่องจากมีตาสำรองอยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก สีเขียว ขอบใบเรียบ แตกใบตรงกันข้ามกันเป็นคู่ มีก้านใบสีชมพูมองเห็นแต่ไกล ดอกเป็นดอกเดี่ยวออกบริเวณปลายยอด ลักษณะผลแก่มีเปลือกหนาสีเขียวอมเหลือง เนื้ออ่อนนุ่ม ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก ประมาณ 1000 ถึง 2500 เมล็ด ผลลำพูแก่มีกลิ่นแรง จะร่วงหล่นระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน
มีตำนานเกี่ยวกับเจดีย์นี้ว่า ฤาษีตนหนึ่งได้มาพบต้นลำพูซึ่งมีขนาดใหญ่ผิดปกติ จึงได้ดูแลทะนุบำรุงจนต้นละมุผลิดอกออกผลเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง ฤาษีตั้งชื่อว่า “แม่ละมุ” เธอเติบโตเป็นหญิงงดงามยิ่งนัก ถึงขนาดพระอินทร์หลงรักต้องลงมาสู่ขอ…
เอ้…ที่เห็นยืนอยู่นั่นจะใช่ “แม่ละมุ” หรือเปล่าน้า?
แล้วก็ยังมีเรื่องราวความสัมพันธ์กับจระเข้อีกด้วยนะ กล่าวกันว่ามีพญาจระเข้ชื่อ Ngamoeyeik ซึ่งสามารถบำเพ็ญเพียรจนแปลงตัวเป็นชายหนุ่มได้ มาเกิดรักใคร่ชอบพออยู่กับแม่ค้าชื่อนางละมุ ต่อมาเกิดเหตุทำให้ Ngamoeyeik ต้องคืนร่างกลายเป็นจระเข้ จึงต้องหนีไปกบดานด้วยความอับอาย สาวละมุเที่ยวพายเรือตามหาจนเรือล่มจมน้ำตาย พญาจระเข้คาบศพนางขึ้นไว้บนบก แล้วกลิ้งเกลือกเสียใจจนขาดใจตาย ชาวบ้านจึงได้สร้างเจดีย์เล็ก ๆ ขึ้น เรียกกันว่า “เจดีย์แหม่ละมุ” ปี ๒๕๐๒ มีการพัฒนาพื้นที่เพื่อปรับปรุงเป็นเขตเมืองใหม่ มีผู้ค้นพบตอของเจดีย์ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จึงได้สร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ ณ บริเวณซากปรักหักพังของเจดีย์เก่า…
นั่นเป็นเรื่องของตำนาน เราไปชมของจริงกันดีกว่า….
เห็นบอกว่าด้านหลังวัดมีบึงจระเข้ด้วย คงเป็นตรงสี่เหลี่ยมสีเขียวที่เห็นในภาพถ่ายดาวเทียมภาพนี้…
ผมไม่ได้เดินไปดู…เพราะไม่ทราบมาก่อน (หุยฮา)