เมื่อหัวใจส่งสัญญาณเตือน!`

บนแผ่นพับที่ผมได้รับจากห้องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โรงพยาบาลลำปาง มีเขียนไว้ว่า “สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น อึดอัด เหงื่อออก เจ็บแน่นกลางหน้าอกคล้ายมีของหนักทับอก ปวดร้าวไปกราม ไหล่ เหนื่อยง่าย ควรได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที…” แผ่นพับแผ่นนี้ได้มาตอนพาพี่ชายไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง สำหรับตัวผมเอง…เคยรับการตรวจ EKG และ Chest X-ray มาแล้วครั้งหนี่งเมื่อประมาณ ๑๕ ปีที่แล้ว พบการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติและอาการหัวใจโต ผมถูกส่งไปวิ่งสายพาน (EST: Exercise Stress Test) รู้สึกว่าตอนนั้นผล EST ที่ได้จะเป็น negative คุณหมออุทัยบอกผมว่าสามารถออกกำลังได้ตามปกติ แต่นั่นมันนานมาแล้วนะ…

แม้ว่าขณะนั้นอาการโรคหัวใจของผมยังไม่ปรากฏชัด แต่ก็เป็นโรคความดันโลหิตสูงอย่างแน่นอน ผมต้องกินยาคุมความดันฯ มาโดยตลอด เริ่มจากวันละ ๕ มิลิกรัม พอเอาไม่อยู่ก็ต้องเพิ่มเป็น ๑๐ มิิลิกรัม และ ๒๐ มิลิกรัม จนกระทั่งต้องกินยาสองตัวควบคู่กัน ระยะหลังเริ่มมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบากคล้ายมีของหนักทับบนอก ผมปรึกษาคุณแพทย์ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านแม่กืย ก็ได้ยา mini aspirin มาเพิ่มอีก (เห็นบอกว่าสามารถลดอัตราเสี่ยงจากโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะได้)

นเว็บ thailabonline.com ได้อธิบายอาการของโรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Ischemic heart disease/IHD) ไว้ดังนี้…

ในรายที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ จะมีอาการปวดเค้นคล้ายมีอะไรกดทับ หรือจุกแน่นที่ตรงกลางหน้าอก หรือยอดอก ซึ่งมักจะเจ็บร้าวมาที่ไหล่ซ้าย ด้านในของแขนซ้าย บางคนอาจร้าวมาที่คอขากรรไกร หลัง หรือแขนขวา บางคนอาจรู้สึกจุกแน่นที่ใต้ลิ้นปี่ คล้ายอาการอาหารไม่ย่อย หรือท้องอืดเฟ้อ ผู้ป่วยมักมีอาการเวลา ออกแรงมาก ๆ (เช่น ยกของหนัก เดินขึ้นที่สูง ออกกำลังแรง ๆ ทำงานหนัก ๆ แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน) มีอารมณ์โกรธ ตื่นเต้น ตกใจ เสียใจ หรือ จิตใจเคร่งเครียด…

ช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา หลังจากที่พี่ชายผมป่วยใกล้ตายด้วยโรคกระเพาะอาหารทะลุ ผมต้องแบกรับปัญหาทุกอย่าง พี่ชายซึ่งเคยน้ำหนักลดลงเหลือแค่ ๗๐ กว่ากิโลกรัม ได้กลับมามีน้ำหนักเป็น ๙๓ กิโลกรัม แต่ยังไม่มีท่าทางว่าจะทำอะไรกับตัวเองให้ดีขึ้น นอกจาก กิน…นอน และดูทีวี ไม่มีความหวังเลยว่าภาระจะได้รับการแบ่งเบา…ทุกวันนี้ผมยังคงต้องจัดหาอาหาร ๓ มื้อให้อยู่เหมือนเดิม ความเครียดที่ได้รับจากพฤติกรรมของพี่ชายยังคงอยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด แม้ว่าผมจะพยายามปรับตัวเข้าหาและทำตามที่เพื่อน ๆ แนะนำมาแล้วก็ตาม

ตั้งแต่กลับมาจากพม่า เวลาที่เครียดมาก ๆ ผมจะรู้สึกเหนื่อย และเริ่มหายใจฝืด รู้สึกจุกแน่นที่ใต้ลิ้นปี่ คล้ายอาการอาหารไม่ย่อย เหมือนที่เว็บ thailabonline.com บอกไว้ไม่มีผิด!

เนื่องจากมีรายได้แค่พอกินพอใช้ไปวัน ๆ แต่ก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากได้ (เป็นสิ่งจำเป็น…ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย อย่างเช่นค่าต่อภาษีเจ้าโตหลายปีต่อเนื่อง ๓-๔ พันบาท ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอีกเป็นเดือนละเกือบ ๑,๒๐๐ บาท ค่าวัสดุอุปกรณ์ที่จะซ่อมแชมบ้าน และอื่น ๆ) ผมจึงตัดสินใจไปสอนเพิ่มเติมที่โรงเรียนประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง โดยทำสัญญาจ้างเป็นเวลา ๒ เดือนกว่า ๆ เพื่อที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๒ หมื่นกว่านิด ๆ

แย่จัง…งานสอนที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ ละ ๒-๓ คาบ ถึง ๔ คาบ กลับทำให้ผมเริ่มป่วย พอจิตป่่วย…กายก็ป่วยตาม หัวใจที่เหนื่อยล้าอยู่แล้วส่งสัญญาณเตือนให้ผมไปหาหมอเพื่อตรวจรักษาอย่างจริงจังได้แล้ว!

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมยังคงสอน string class ทั้ง ๆ ที่เหลือนักเรียนเพียง ๔ คน (น้องแบ๊งค์และน้องเบลล์ยอมแพ้ไปแล้ว) ผมพยายามทำตัวให้สดชื่น…ดูเป็นปกติ!  ผู้ที่เห็นคงไม่รู้หรอกว่าภายในผมเริ่มจะแย่แล้ว!!

แต่ผมก็ยังคงจะเขียนบล็อกต่อไปนะครับ!!

2 Replies to “เมื่อหัวใจส่งสัญญาณเตือน!`”

  1. เป็นห่วงลุงนำ้ชาจังค่ะ

    ถ้าเจออะไรเครียดๆ ก็ปส่อยๆ มันไปนะคะ คิดเรื่องที่ทำให้เราสดชื่นๆ แทน จะได้สบายใจ สบายกาย

    อย่าห่วงงานจนลืมพักผ่อนนะคะ

ใส่ความเห็น