วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นวันที่ผมนั่งรถโดยสารจากเมืองไชย สปป. ลาว ไปยังเดียนเบียนฟูของเวียดนาม นับเป็นการเดินทางที่ผมจะต้องจดจำไปอีกนาน…
ถนนจากเมืองใหม่ไปยังชายแดน ลาว-เวียดนาม กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ตลอดเส้นทาง…ผมตื่นตาตื่นใจไปกับสภาพถนนดินลูกรังซึ่งคดเคี้ยวไปตามภูเขา บางแห่งมีร่องรอยดินถล่มลงมาจากที่สูง เมื่อเดินทางผ่านถนนซึ่งมีสภาพดินข้างทางยุบตัวลงไป…รถก็ต้องคลานไปช้า ๆ เพื่อผ่านจุดอันตราย จริง ๆ แล้วระยะทางก็ไม่เท่าไร…แต่รถต้องใช้เวลาวิ่งเป็นชั่วโมง ๆ (สู้ฝรั่งนักจักรยานคนหนึ่งไม่ได้ ผมเห็นเค้าปั่นสวนทางมาคนเดียวด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ)
ในที่สุดรถก็วิ่งถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของลาว ซึ่งเรียกว่า “ด่านสบพูน” เป็นอาคารสร้างใหม่รูปทรงสวยงาม
รถโดยสารจอดอยู่ห่าง ๆ….
ผู้โดยสารทั้งหมดจะต้องลงจากรถ แล้วเดินไปยังตัวอาคาร มุ่งหน้าไปยังหน้าต่างกระจกที่เห็นในภาพ…
วันนั้นมีผู้โดยสารที่จะเดินทางข้ามแดนเพียงแค่ ๖ คน คือ ชาวเยอรมัน(เสื้อแดง)พร้อมภรรยาคนไทย หนุ่มสาวชาวเวียดนาม ๓ คน และคนไทยผมขาวอีก ๑ คน ขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ แค่นำหนังสือเดินทางพร้อม departure card ไปวางไว้ให้เจ้าหน้าที่…แล้วยืนรอ
คนน้อยจึงใช้เวลาไม่นาน เสียงประทับตราลงบนหนังสือเดินทางบอกให้รู้ว่าผมได้เดินทางออกจากประเทศลาวแล้ว…
เสร็จแล้วต้องเก็บหนังสือเดินทางให้ดีนะครับ อีกไม่นานก็จะต้องนำออกไปยื่นให้กับ “ด่านไตตราง” ของประเทศเวียดนาม
รู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศโดยรอบ ในระหว่างที่รอให้รถโดยสารผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ผมถือโอกาสบันทึกภาพไว้ซะหน่อย…
จากอาคารที่ไปแจ้งออก (check out) ผู้โดยสารเดินมารออีกฝั่งหนึ่ง ยังขึ้นรถไม่ได้ ต้องรอให้รถวิ่งอ้อมมารับ
ที่เห็นยืนอยู่ด้านหน้าเป็นหนุ่มสาวชาวเวียดนาม หญิงสองคนนั่นคงจะเป็นนักศึกษา ผมได้คุยกับคนหนึ่ง พอรู้ว่าผมกำลังจะไปซาปา…เธอบอกว่าน่าเสียดายที่ไปตอนนี้ไม่มีหิมะตก…
ผมเห็นมีคนพยายามนำจักรยานยนต์ทั้งคันขึ้นรถโดยสารที่นั่งมา ในที่สุดเจ้าแมงกะไซค์ก็ถูกนำขึ้นไปบนรถจนได้ มีเศษพลาสติกแตกออกจากชิ้นส่วนรถตกอยู่บนพื้นถนน! จากนั้นรถก็วิ่งมารับผู้โดยสารเพื่อเดินทางต่อไป…
วิ่งไปอีกพักใหญ่ ก็ถึงด่านไตตรางของเวียดนาม เป็นอาคารใหม่สองชั้น สวยงามเช่นกัน!
รถจอดให้ผู้โดยสารลงเดินเข้าไปในอาคารด่านตรวจคนเข้าเมืองของเวียดนาม บรรยากาศดูคล้าย ๆ กลุ่มนักโทษหรือผู้ต้องหาที่ถูกนำไปยังสถานีตำรวจ ผมเห็นเจ้าหน้าที่เวียดนามแต่งชุดเขียวหน้าตาเคร่งเครียด..ทำให้นึกถึงตอนไปพม่าเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน
เวียดนามเป็นประเทศแรกที่ผมพบว่าไม่ต้องมีการกรอก arrival card แค่เพียงยื่นหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่นำไปจดบันทึกลงในสมุดเล่มยาวและป้อนข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ เสร็จแล้วเค้าก็ประทับตราลงในหน้าสุดท้ายของหนังสือเดินทางของเรา
จากนั้นผู้โดยสารก็ถูกต้อน… เอ๊ย พาตัว ไปยังอีกด้านหนึ่งของตัวอาคาร ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยเรียก passport เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง
ก่อนผ่านออกมา…ผมเห็นรูปปั้น “ลุงโฮ” ผู้ที่ผมชื่นชม ยื่นเด่นเป็นสง่าอยู่ที่นั่น สอบถามเจ้าหน้าที่แล้วว่าถ่ายรูปได้ไหม เค้าบอกว่าได้ ผมจึงบันทึกภาพเก็บไว้…
ถือโอกาสขอให้เจ้าหน้าที่คนนั้นถ่ายภาพผมไว้ด้วย ๑ บาน
ระหว่างยืนรอรถ มีเจ้าหน้าที่ ต.ม. คนหนึ่งมาเสนอแลกเงิน เค้าบอกว่าที่เวียดนามต้องใช้เงินดอง สามารถแลกกับเค้าได้ จะเป็นเงินดอลล์หรือเงินบาทก็ได้ คิดว่าคงจะเป็นช่องทางหากินพิเศษของเค้าน่ะ! ผมกังวลว่าถ้าไม่มีเงินดองติดกระเป๋าไว้บ้างเลย เมื่อไปถึงเดียนเบียนฟู อาจจะมีปัญหา จึงตัดสินใจใช้เงินไทย ๑,๔๐๐ บาท แลกเงินเวียดฯ ไว้ได้ ๘๓๖,๐๐๐ ดอง ผมเป็นงงอีกแล้วกับเงินเกือบล้านดอง อิอิ
พอแลกเงินเสร็จ รถก็มารับพอดี มีจักรยานยนต์ขวางอยู่ คนขับบอกให้ผมข้ามไปนั่งเบาะหน้า ดีเหมือนกัน…จะได้เห็นสองข้างทางที่รถวิ่งผ่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากด่านไตตรางถึงตัวเมืองเดียนเบียนฟูระยะทางประมาณ ๓๕ กิโลเมตร รถใช้เวลาวิ่งประมาณ ๑ ชั่วโมงเห็นจะได้ ถนนแม้จะแคบแต่ก็ดีขึ้น
สองข้างทางผมเห็นต้นข้าวเขียวชอุ่มปลูกอยู่เต็มที่นา คนเวียดนามเป็นคนขยันขันแข็ง พื้นที่ว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามข้างทางก็ยังใช้ปลูกข้าว (ไม่ปล่อยให้ไร้ประโยชน์เหมือนบ้านเรา) เห็นเช่นนั้นผมไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมเวียดนามถึงได้ชื่อว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก!
ระหว่างทาง รถจอดให้สาวเวียดนาม ๒ คนลง เธอหันมาโบกมืออำลา วิ่งต่อไปอีกพักหนึ่ง…รถจอดให้คนนำจักรยานยนต์ลง ผมถือโอกาสถ่ายภาพร้านที่อยู่ข้างทางไว้อีก ๑ บาน…
เวลาประมาณสี่โมงเย็น รถก็วิ่งถึงสถานีขนส่งเดียนเบียนฟู….
ผมก้าวลงจากรถด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ความฝันที่จะได้เยือนประเทศเวียดนามได้เป็นจริงแล้ว!