บ้านเช่าที่บางบัว…

จริงๆ แล้วผมไม่ได้ขี้เกียจหรือเบื่อที่จะเขียนหรอกครับ แต่เช้านี้ผมต้องขอนำบล็อกที่เคยเขียนไว้ที่ U-Radio มาเก็บไว้ใน “ฟังลุงน้ำชาคุย” อีกแห่งหนึ่ง ผมรู้สึกเสียดายเรื่องราวเก่าๆ ที่เคยเล่าไว้แล้วต้องถูกลบทิ้งออกไปตอนล้างไฟล์ใน server  ถ้าหากได้สำรองข้อมูลเอาไว้ก็คงจะนำกลับมาเก็บรวมไว้ที่นี่ได้ด้วยเช่นกัน

ผมได้เขียนเกี่ยวกับ “บ้านเช่าที่บางบัว” ไว้ดังนี้ครับ…

เมื่อปี ๒๕๒๖ เพื่อนยากของผมคันนี้แหละที่บรรทุกเปียโนและข้าวของเดินทางจากเชียงใหม่สู่กรุงเทพ ด้วยความหวังที่จะกลับไปปักหลักใหม่ที่นั่น  นอกจากเจ้ามาสด้าจะต้องวิ่งระยะทางไกลแล้ว มันยังต้องรับใช้ผมอีก ๒๐ กว่าวันในสภาพการจราจรของนครหลวงที่แออัดและสภาพน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน  บางครั้งผมเกือบไปไม่รอดเมื่อเจอกับระดับน้ำท่วมสูงบนถนนหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือถนนที่เต็มไปด้วยโคลน ณ หมู่บ้านบางบัว ภาพนี้ถ่ายขณะที่จอดตากแดดตากฝนอยู่หน้าบ้านเช่า เพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่ผมจะขับรถกลับเชียงใหม่ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๖ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสภาพของถนนเป็นเช่นไร…

ระหว่างทำงานเล่นเปียโนที่ห้องอาหารในโรงแรมคอนติเน็นตัล สนามเป้า ผมเช่าบ้านไม้หลังเล็กที่เห็นในภาพอยู่กับ “สมมาตร” เพื่อนรุ่นน้องซึ่งเคยทำงานด้วยกันที่บริษัทวิทยาคม มันเป็นบ้านเช่าอยู่ในที่จัดสรรของการเคหะบางบัว ค่าเช่าเดือนละ ๖๐๐ บาท เราช่วยกันจ่ายคนละครึ่ง…

บ้านเช่ามีส้วมไม่มิดชิด ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ผมต้องอาศัยโยงไฟมาจากบ้านของเพื่อนซึ่งเคยเรียนเทคนิคกรุงเทพด้วยกันมาใช้ ส่วนน้ำก็ต้องคอยรองน้ำฝนไว้ใช้ ตอนกลางวันลมพัดเย็นดี แต่ตอนกลางคืนผมต้องสะดุ้งตื่นบ่อยครั้ง เพราะเสียงเครื่องบินที่ขึ้นจากสนามบิน ดอนเมือง  ช่วง ๒๐ กว่าวันผมไม่ค่อยได้กลับมานอนบ้าน เพราะผมจะขับรถไปจอดหน้าบ้านป้าที่สุขุมวิท ซอย ๖๗ หรือไม่ก็ที่วัดนก ตำบลภาษีเจริญ แล้วนอนอยู่ในรถตลอดทั้งคืน

คืนไหนที่อยากกลับบ้าน(เช่า) ผมจะต้องขับรถลุยโคลนเข้าหมู่บ้านผ่านบรรยากาศที่น่ากลัวไม่น้อย มันทั้งเงียบทั้งเปลี่ยว! โชคดีที่ผมเป็นคนไม่กลัวผี  ไม่งั้นคงจะอยู่ไม่ได้

ภาพการรองน้ำไว้ใช้ทำให้ผมอดคิดถึงชีวิตช่วงอาศัยอยู่ที่บางบัวไม่ได้  จำได้ว่าตอนย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ ๆ ผมต้องขอดน้ำที่เหลืออยู่ก้นตุ่มประมาณ ๔-๕ ขันเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปเล่นเปียโน  พอฝนตกลงมา ผมดีใจมาก รีบรองน้ำฝนใส่ภาชนะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็แค่เต็มตุ่มเต็มกาละมัง เพราะผมไม่มีภาชนะอื่นอีก

นับเป็นภาพชีวิตยากลำบากซึ่งผมไม่เคยลืม…

ชีวิตถูกหลอมให้แกร่งด้วยสภาพเช่นนี้มามากมาย หลายฉากหลายตอน ทุกวันนี้ผมก็ยังคงใฝ่ฝันที่จะออกไปผจญกับมันอีก บ้าหรือเปล่านะ?

ใส่ความเห็น